กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้
Arts and Culture Promotion Division

ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม การประกวดกระทงใหญ่ ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานประเพณีเดือนยี่เป็งเชียงใหม่ ประจำปี2565 ภายใต้แนวคิด "เชียงใหม่นครที่เป็นที่สุดแห่งความสง่างามทางวัฒนธรรม ความสุขแห่งสายน้ำปิงนครามหานที" โอกาสนี้ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นผู้แทนเข้ารับรางวัลถ้วยพระราชทาน ณ ปะรำพิธี หน้าสำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่

สำหรับในครั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จัดทำรถกระทงใหญ่ ในแนวคิด “มิ่งระมิงค์พิงค์บุรีสรีเชียงใหม่เสน่ห์สายน้ำอุดมความงามถิ่นวัฒนธรรม” เพราะ “น้ำ” ถือเป็นต้นกำเนิดแหล่งอารยธรรม เป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตทุกชาติพันธุ์ จนเกิดแหล่งอารยธรรมต่างๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะอุษาคเนย์ที่มีจารีต พิธีกรรมและการละเล่นเกี่ยวกับน้ำมากมาย เชียงใหม่เมืองเก่าแก่ก่อตั้งมาร่วม 700 ปี มีน้ำแม่ระมิงค์หรือน้ำปิงเป็นแม่น้ำหลักที่หล่อเลี้ยงชาวเชียงใหม่มายาวนาน ก่อให้เกิดจารีตประเพณี เช่น ประเพณีลอยกระทง การขอขมาแม่น้ำ การบวชกลางน้ำ เป็นต้น มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงจัดขบวนรถกระทงโดยอาศัยแนวคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ ใช้โทนสีที่โดดเด่นเพื่อสื่อให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมล้านนาผ่านเสื้อผ้าอาภรณ์ ท่วงทำนอง การฟ้อนรำ เครื่องสักการะ
- สีน้ำเงินคราม สื่อถึงสายน้ำปิง (ระมิงค์) ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในลุ่มน้ำปิงเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน สร้างสรรค์ผ่านขบวนศิลปวัฒนธรรม เช่น การแต่งกาย เครื่องประดับ เครื่องสักการะ การละเล่น
- สีเขียว สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของการเกษตร ที่น้ำมีความเกี่ยวข้องกับการเกษตรอย่างยิ่ง อีกนัยหนึ่งนั้น เป็นสีที่สื่อถึงความชุ่มเย็นและเป็นหนึ่งในสีประจำมหาวิทยาลัยแม่โจ้อีกด้วย
- สีทอง สื่อถึงความมั่งคั่ง มีอารยธรรมและความรุ่งเรืองแห่งวัฒนธรรมในเชียงใหม่ลุ่มน้ำแม่ระมิงค์

ในส่วนของการออกแบบตัวรถกระทงจะสอดคล้องกับประเพณีคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา เลือกใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อถึงความเคารพต่อสายน้ำอันเป็นมงคลของเมืองเชียงใหม่ และระลึกถึงภารกิจที่ได้น้อมรับมาจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรและพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการที่จะดูแลนิเวศป่าต้นน้ำและแหล่งการเกษตรในพื้นที่ใกล้กับเมืองเชียงใหม่ให้ยังคงความอุดมสมบูรณ์สืบไป โดยคติที่ได้นำมาสื่อในการประดับรถกระทงประกอบด้วย

ส่วนกลางรถกระทงจำลอง “พระเกศแก้วจุฬามณี” เชื่อว่าเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระจุฬาและพระโมลีของเจ้าชายสิทธัตถะ ครั้งเมื่อทรงเสด็จออกผนวชทรงตัดพระจุฬา พร้อมพระโมลีแล้วขว้างไปในอากาศ ขณะนั้นท้าวสักกะเทวราชนำผอบแก้วมารองรับเอาไปประดิษฐานในพระเจดีย์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ความเชื่อนี้ได้ทำให้มีการสร้างพระเจดีย์ที่วัดเกตอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง อันเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของเชียงใหม่มาตั้งแต่อดีต และเป็นย่านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ริมแนวแม่น้ำปิงในปัจจุบัน สัญลักษณ์นี้เชิงปรัชญา ยังหมายถึง ระลึกบูชาพระรัตนตรัยและดวงปัญญาอันบริสุทธิ์ที่ปกปักรักษาเมืองเชียงใหม่

ชั้นถัดลงมามีช้างเผือกสองคู่รวมสี่เชือก สื่อถึงพุทธบริษัททั้งสี่ภายในเมืองเชียงใหม่ที่ตั้งตนวางตัวอยู่ในศีลธรรม ต่างมุ่งหวังที่จะฝึกตนให้เป็นผู้ปฏิบัติดี เหมือนดั่งพญาช้างเผือกผู้มีกำลังพร้อมพาเมืองเชียงใหม่ให้วัฒนาผ่องใส โดยคู่แรกอยู่ด้านหน้ารถกระทงชูพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสืบสานพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการจัดการน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเมือง และคู่ที่สองอยู่ด้านหลังรถกระทงชูพระปรมาภิไธยย่อของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกรในท้องถิ่น และในส่วนกลางรถกระทงด้านใต้พระเจดีย์ ได้วางสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยแม่โจ้ในซุ้มหางนาคที่วางรูปทรงอย่างหม้อปูรณฆฏะหรือหม้อแห่งความอุดมสมบูรณ์และร่มเย็น สื่อถึงความความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความอุดมสมบูรณ์และร่มเย็นของเมืองเชียงใหม่

ชั้นล่างสุดรองรับเอาไว้ด้วยพญานาคทั้งสี่ทิศ สื่อถึงนาคในตระกูลฉัพพยาปุตตะผู้ถือสัจจะในการดูแลรักษาพระพุทธศาสนา ตามตำนานยังถือว่าเป็นกลุ่มตระกูลนาคที่เข้ามาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่มีความประพฤติหรือความตั้งใจจริงในการทำสิ่งที่ดีให้ประสบความสำเร็จ และการสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของสายน้ำและสิ่งแวดล้อม ที่ได้จากการที่ชาวเมืองเชียงใหม่หรือช้างเผือกทั้งสี่ได้รักษาดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมีกำลังที่ส่งมอบสิ่งดีๆสืบต่อไป
รถกระทงมหาวิทยาลัยแม่โจ้ออกแบบและใช้แนวความคิด โทนสี เรื่องราว ให้สอดคล้อง สวยงามสื่อถึงอัตลักษณ์และความเจริญรุ่งเรืองของ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อร่วมสืบสานศิลปวัฒนธรรมประเพณียี่เป็งให้อยู่คู่เชียงใหม่และประเทศไทยสืบไป เหนือสิ่งอื่นใด ผลงานการจัดทำรถกระทงของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เกิดจากพลังแห่งความสามัคคีของชาวแม่โจ้ เป็นการทำงานร่วมแรงร่วมใจ ของนักศึกษาทุกสาขา ทุกชั้นปี ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ใช้เวลาในการประดิษฐ์แต่ละครั้งประมาณ 3-4 เดือน โดยมีการสืบทอดภูมิปัญญาการประดิษฐ์จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง โดยมีกองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมดูแล อำนวยความสะดวก มีคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรศิษย์เก่าคอยให้การสนับสนุน เพื่อช่วยกันสานต่อวัฒนธรรมองค์กรที่ดีและสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของไทยสืบไป
ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี นับจากพ.ศ. 2512-2565 แม่โจ้ได้จัดทำรถกระทงเข้าร่วมงานเดือนยี่เป็งเชียงใหม่ร่วมอนุรักษ์และสืบสานประเพณีอันดีงามมาจวบจนปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า "แม่โจ้" เป็นสถาบันการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอดและสร้างสรรค์ผลงานเป็นที่ประทับใจต่อคณะกรรมการและผู้ชมจนได้รับรางวัลต่อเนื่องเรื่อยมา

ปรับปรุงข้อมูล : 22/11/2565 13:48:26     ที่มา : กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้     จำนวนผู้เปิดอ่าน : 981

กลุ่มข่าวสาร :

ข่าวล่าสุด

พิธีวางพวงมาลาวันวิภาต บุญศรี วังซ้าย
30 ตุลาคม 2568 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่าแม่โจ้ จัดงานวันวิภาต บุญศรี วังซ้าย โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.เทพ พงษ์พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดี และคณะผู้บริหาร คณาจารย์ ตัวแทนศิษย์เก่าแม่โจ้รุ่นต่างๆ และนักศึกษา ร่วมกล่าวสดุดี วางพวงมาลา เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที รำลึกถึงคุณความดีของ ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย อธิการบดีคนแรกของแม่โจ้ โอกาสนี้ อาจารย์พัชรินทร์ สุกัณศีล ทายาท ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย ให้เกียรติเข้าร่วมงานโอกาสนี้ได้มีพิธีมอบทุนการศึกษา มูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย เป็นเงิน 30,000 บาท , ทุนการศึกษา “ชีวิตจิตใจมอบให้แม่โจ้” โดยชมรมจักรยานศิษย์เก่าแม่โจ้ เป็นเงิน 40,000 บาท, ทุนชมรมศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 30 และเทคนิคเกษตร 6” จำนวน 20,000 บาท และทุนการศึกษานายธรรมนูญ เทศขำ แม่โจ้รุ่น 31 จำนวน 5,000 บาท เพื่อจัดสรรส่งมอบโอกาสการทางการศึกษาให้น้อง ๆ นักศึกษาแม่โจ้ต่อไป ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นณ ลานอนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้ศาสตราจารย์ ดร.วิภาต บุญศรี วังซ้าย ศิษย์เก่าแม่โจ้ รุ่น 1 เป็นชาวจังหวัดแพร่ เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2459 หลังจากสอบไล่ได้มัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่ ก็ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยจ.เชียงใหม่ และย้ายมาเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ เมื่อปี 2477 ซึ่งถือเป็นรุ่น 1 รุ่นบุกเบิกและสร้างแม่โจ้ เมื่อจบจากแม่โจ้ท่านสอบชิงทุนหลวงไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในฟิลิปปินส์ จนจบปริญญาตรี ปี พ.ศ. 2484 จึงกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ที่แม่โจ้ ตำแหน่งอาจารย์ผู้ปกครองนาน 6 ปี จากนั้นท่านไปลงสมัครผู้แทนราษฎร 2 ครั้ง พอถึงปี พ.ศ. 2497 ท่านกลับเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ใหญ่ชั้นเอกของโรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ จวบจนกระทั่งได้เป็นอธิการบดีคนแรกของสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ถึง 2 สมัยท่านคือผู้สร้างและพัฒนาให้ “แม่โจ้” เป็นแหล่งความรู้และหล่อหลอมบุคลากรการเกษตรทุกระดับที่มีคุณภาพ เป็นผู้มีคุณูปการต่อวงการอาชีวเกษตรของประเทศไทย ปลดแอกข้อจำกัดของวงการอาชีวเกษตรในอดีต เป็นครูผู้สร้างและพัฒนาแม่โจ้ ท่านเป็นบุคคลต้นแบบนักต่อสู้ เอาชนะอุปสรรค คนต้นแบบลูกแม่โจ้ ผู้ให้อมตะโอวาท “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” คติพจน์ประจำใจของลูกแม่โจ้จวบจนปัจจุบัน
30 ตุลาคม 2568     |      3129
พิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
29 ตุลาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ พร้อมด้วยผู้บริหาร ศิษย์เก่า คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา ร่วมจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย จากนั้นรองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดี นำคณะผู้บริหาร ศิษย์เก่า คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา ลงนามถวายความอาลัย เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ หน้าอาคารช่วงเกษตรศิลป์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
30 ตุลาคม 2568     |      75